Adobe eLearning Suite


อะโดบี ซิสเต็มส์ อิงค์ เผยโฉมชุดซอฟต์แวร์ Adobe eLearning Suite ซึ่งเป็นโซลูชั่นการเขียนแก้เนื้อหาสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา คณาจารย์ และผู้จัดฝึกอบรม โดยรองรับการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย
สามารถนำเสนอผ่านทางเว็บ เดสก์ทอป อุปกรณ์พกพา และระบบจัดการการเรียนรู้
ชุดซอฟต์แวร์รุ่นใหม่นี้จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยการผสานรวมเวอร์ชั่นสำคัญๆ ของ
Adobe Captivate®,
Adobe Flash® CS4,
Adobe Dreamweaver® CS4,
Adobe Photoshop® CS4 Extended,
Adobe Acrobat® Pro,
Adobe Presenter 7,
Adobe Soundbooth® CS4,
Adobe Bridge CS4,
Adobe Device Central CS4
รวมทั้งส่วนขยายอีเลิร์นนิ่งสำหรับ Adobe Flash® CS4 และ Adobe Dreamweaver® CS4
นาย นาเรช กัปตะ รองประธานอาวุโสกลุ่มธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์และการจัดพิมพ์ของอะโดบี กล่าวว่า”ชุดซอฟต์แวร์ Adobe eLearning Suite นับเป็นชุดเครื่องมือที่โดดเด่นและมีการผนวกรวมอย่างกลมกลืน ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถสร้าง ปรับแต่ง ตรวจทาน และจัดพิมพ์เนื้อหาอีเลิร์นนิ่งที่พร้อมสรรพภายในสภาพแวดล้อมเดียวกันและด้วยการใช้แอพพลิเคชั่นที่หลากหลายและเวิร์กโฟลว์แบบอัตโนมัติ ทำให้นักการศึกษาสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและเข้าถึงผู้เรียนผ่านช่องทางใหม่ๆ ทุกที่ทุกเวลา โดยใช้สื่อหลากหลายประเภท” Adobe Captivate 4Adobe Captivate 4 ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของชุดซอฟต์แวร์นี้ เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของซอฟต์แวร์อีเลิร์นนิ่งของอะโดบี ซึ่งรองรับการสร้างเนื้อหาและหลักสูตรอีเลิร์นนิ่งระดับมืออาชีพ โดยผสานรวมแบบจำลอง การฝึกอบรมตามสถานการณ์สมมติ แบบทดสอบ ริชมีเดีย และการโต้ตอบแบบอินเทอร์แอคทีฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจะสามารถใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ใหม่ๆ กว่า 20 รายการ เช่น
การจัดพิมพ์ไฟล์ SWF ชุดเดียว,
การแปลงจากข้อความเป็นเสียง,
แถบเครื่องมือรูปวาดสำหรับกราฟิกแบบง่ายๆ,
เทมเพลตโครงงานแบบปรับปรุง และเวิร์กโฟลว์แบบครบถ้วนสำหรับ Microsoft® PowerPoint®
ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถนำเข้าและแก้ไขสไลด์ PowerPoint ที่มีเสียงและการโต้ตอบแบบอินเทอร์แอคทีฟ นอกจากนั้น Adobe Captivate 4 เก็บรักษาเลเยอร์ของ Photoshop ซึ่งจะสามารถทำให้เคลื่อนไหวได้ ทั้งยังสนับสนุนการจัดพิมพ์ PDF และเอาต์พุต Audio Video Interleave (AVI) สำหรับการเผยแพร่ไปยัง YouTube™ Adobe Captivate Reviewer ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นใหม่ในตระกูล Adobe® AIR™
จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาสามารถบันทึกคำติชมของผู้ตรวจทาน ไม่ว่าจะใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นใด และแทรกข้อคิดเห็นไว้ในไฟล์ Adobe Captivate SWF ได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้กระบวนการตรวจทานง่ายดายยิ่งขึ้น นอกจากนั้น Adobe Captivate 4 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มสารบัญซึ่งจะอัพเดตโดยอัตโนมัติเมื่อผู้เรียนไปยังส่วนต่างๆ ของโครงงาน และเพื่อดึงดูดผู้เรียนให้มีส่วนร่วมมากขึ้น ก็อาจใช้ค่าตัวแปรระบบและค่าตัวแปรที่กำหนดเอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่สอดรับกับความต้องการ ตัวอย่างเช่น ผู้รับจะต้องพิมพ์ชื่อไว้ในช่องว่างเมื่อเริ่มต้นหลักสูตร และ Adobe Captivate 4 จะปรับแต่งสไลด์ต่างๆ โดยใส่ชื่อผู้เรียนไว้ในนั้น คุณประโยชน์ของเวิร์กโฟลว์และการผนวกรวมด้วยการผนวกรวมเครื่องมือชั้นนำของอะโดบีสำหรับการสร้างเนื้อหา ซอฟต์แวร์ Adobe eLearning Suite จะช่วยให้นักการศึกษาได้รับประโยชน์จากเวิร์กโฟลว์ที่ไม่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่แยกซื้อต่างหาก ส่วนขยายของ Dreamweaver CS4 CourseBuilder ช่วยให้นักออกแบบหลักสูตรสามารถใช้ Dreamweaver CS4 เพื่อสร้างโมดูลอีเลิร์นนิ่งแบบ HTML โดยตรง พร้อมด้วยการประเมินผล โดยใช้คำถามมาตรฐาน เมื่อใช้ตัวสร้างแพ็กเกจ Shared Courseware Object Reference (SCORM)
นักออกแบบจะสามารถผสานรวมเนื้อหา Adobe Captivate 4, Flash CS4, Dreamweaver CS4 และ Adobe Presenter ไว้ในหลักสูตรเดียวกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการสร้างหลักสูตรได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังมี Soundbooth CS4 ซึ่งจะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถลบเสียงรบกวนออกจากเสียงที่บันทึกไว้ ขัดเกลาเสียงพากย์ ปรับแต่งเพลงให้เหมาะสม และผสมผสานคลิปมากมายไว้ในแทร็กต่างๆ นักออกแบบหลักสูตรสามารถดึงดูดผู้เรียนให้มากขึ้นด้วยภาพที่สร้างขึ้นภายในโปรแกรม Photoshop CS4 Extended ซึ่งประกอบด้วยฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการแก้ไขภาพ 3 มิติ และการตัดต่อภาพวิดีโอ ภาพต่างๆ รวมถึงสื่อที่ได้รับการพัฒนาใน Adobe Captivate หรือคอมโพเนนต์อื่นๆ จะสามารถจัดระเบียบได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังสามารถค้นหา เรียกดู และวางไว้ใน Adobe Captivate 4, Photoshop CS4 และ Flash CS4 ได้โดยตรงจากตำแหน่งที่ตั้งส่วนกลาง โดยใช้ Adobe Bridge CS4 หลังจากที่เนื้อหาพร้อมสำหรับการนำเสนอแล้ว ผู้ใช้จะสามารถเลือกรูปแบบเอาต์พุตมาตรฐานหลายๆ รูปแบบ เช่น SWF, HTML, PDF, AVI และ SCORM ซึ่งรองรับการนำเสนอเนื้อหาไปยังเว็บ เดสก์ท็อป และระบบจัดการการเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย หากนักออกแบบหลักสูตรไม่สามารถเข้าถึงระบบจัดการการเรียนรู้ ชุดซอฟต์แวร์ Adobe eLearning Suite จะช่วยให้ผู้ใช้จัดพิมพ์ไปยัง Adobe Acrobat® Connect Pro™ (ซึ่งจำหน่ายแยกต่างหาก) ได้โดยตรง นอกจากนี้ Adobe Device Central CS4 ยังทำให้นักออกแบบหลักสูตรสามารถออกแบบ แสดงตัวอย่าง และทดสอบเนื้อหาสำหรับการแสดงผลบนหน้าจอของอุปกรณ์พกพากว่า 600 เครื่อง
ราคาและการวางจำหน่ายAdobe eLearning Suite และ Adobe Captivate 4 มีวางจำหน่ายแล้ว โดยผ่านทางตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้ง และร้านค้าออนไลน์ของอะโดบี (Adobe Store) ชุดซอฟต์แวร์ดังกล่าวราคาประมาณ 71,969 บาท
ส่วน Adobe Captivate 4 ที่จำหน่ายแยกต่างหาก ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 31,969 บาท นอกจากนี้ยังมีราคาพิเศษสำหรับการอัพเกรดและสถานศึกษาอีกด้วย ทั้ง Adobe eLearning Suite และ Adobe Captivate 4 สามารถใช้งานร่วมกับ Microsoft® Windows® XP ที่มีการติดตั้ง Service Pack 2 (แนะนำให้ใช้ Service Pack 3) และ Windows Vista® Home Premium, Business, Ultimate หรือ Enterprise ที่มีการติดตั้ง Service Pack 1 หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Adobe eLearning Suite
คลิกไปที่
ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับ Adobe Captivate 4 มีอยู่ที่

นาโนเทคโนโลยี คืออะไร







นาโนเทคโนโลยี คืออะไร

ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราสามารถผลิตชิ้นส่วน หรือสิ่งใดก็ได้ โดยมีค่าใช้จ่ายถูกแสนถูก ซึ่งสามารถประกอบตัวกันขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง เหมือนกับการนำความต่างศักย์ทางไฟฟ้า ในรูปของ บิท(bit) มาประกอบกันเป็นข้อมูลด้านต่างๆ จนกลายเป็นคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันได้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น การผสมผสานกันของเทคโนโลยีด้านเคมีวิทยา และวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตเป็นอีกรูปแบบได้ เรียกว่า "นาโนเทคโนโลยี"




ทำให้เกิดยุคที่เครื่องยนต์กลไก สามารถสร้างตัวเองขึ้นใหม่ได้ ทำให้ได้สินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาถูก เพราะเราสร้างสิ่งต่างๆ จากหน่วยของอะตอม นาโนเทคโนโลยี จึงเป็นอุตสาหกรรมระดับโมเลกุล (โมเลกุล คือการประกอบกันของอะตอม เพื่อหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง) หรือการสร้างสิ่งต่างๆจากอะตอม ในหน่วยวัดระดับนาโนเมตร หรือมีขนาดเพียง 1/1,000,000,000 เมตรเท่านั้น (เล็กขนาดที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น)

อะไรมันจะอภิมหาจิ๋วขนาดนั้น และด้วยความสามารถในระดับที่ลึกนี่เอง ทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆในระดับอะตอมได้ เป็นผลให้เราสามารถเข้าไปควบคุม หรือสร้างสิ่งต่างๆที่น่าจะเป็นไปได้ในด้านต่างๆได้ อาทิ สินค้าที่สร้างตัวเองได้, คอมพิวเตอร์เร็วขึ้นล้านเท่า, การเดินทางในอวกาศ, การไขปริศนาโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงความเป็นอมตะ, การสร้างอาหารที่ไม่มีวันหมด, การกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงทุกมุมโลก, การเพาะพันธุ์สัตว์ที่สูญพันธุ์ขึ้นใหม่, การใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างเต็มที่ และสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆอีกมายมาก ตามแต่มนุษย์จะจินตนาการไปถึง

ในโลกของสารสนเทศ ดิจิตอลเทคโนโลยี สามารถสร้างตัวเองใหม่ ด้วยความรวดเร็ว และสมบูรณ์ ในราคาที่ถูกได้ แล้วจะเป็นไรไป ถ้าหากว่าแนวความคิดนี้ สามารถนำมาใช้ในโลกที่เราจับต้องได้ ถ้าคุณสามารถรักษาโรคมะเร็ง โดยการดื่มเพียงน้ำผลไม้ ที่มีหุ่นยนต์จิ๋วแบบที่มองไม่เห็น ซึ่งมีหน้าที่รักษาโรคต่างๆ ตามที่โปรแกรมไว้ มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กเท่าเซลล์ของมนุษย์ คุณสามารถไปท่องเที่ยวทั่วจักรวาลได้ ด้วยค่าใช้จ่ายที่เท่ากับไปต่างจังหวัด จะเอามั้ย นาโนเทคโนโลยีหวังเอาไว้เช่นนั้น ไม่ว่า จะเป็นนิยายหรือภาพยนตร์ แนววิทยาศาสตร์ ต่างก็มีจินตนาการที่รุดหน้า ซึ่งเราไม่สามารถนึกภาพได้ออกว่า ในอนาคตชีวิตของเราจะเป็นเช่นนั้นได้หรือไม่ แต่เมื่อมีแนวความคิด ของนาโนเทคโนโลยีเกิดขึ้น มันเหมือนกับ ทำให้ฝันของเราใกล้ความจริงเข้าไปทุกที นาโน หมายถึง หนึ่ง ใน พันล้านหน่วย นาโนเทคโนโลยี คือวิทยาการประยุกต์แขนงใหม่ที่ว่าด้วยเรื่องของเทคโนโลยีในการประกอบและผลิตสิ่งต่างๆ ขึ้นมาจากการจัดเรียงอะตอม หรือโมเลกุลเข้าด้วยกันด้วยความแม่นยำและถูกต้องในระดับนาโนเมตรหรือขนาด 1 ในพันล้านส่วนของ 1 เมตร โดยเป็นการผสมผสานของวิทยาศาสตร์หลายแขนง เช่น ชีววิทยา ชีวเคมี วิศวกรรมศาสตร์สาขา หุ่นยนต์ และเครื่องจักรกล

ศาสตราจารย์ริชาร์ด ฟายน์แมน (Richard Feynman ผู้ได้รับ รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในปี ค.ศ. 1965) ผู้เปิดศักราชของนาโนเทคโนโลยี ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 ว่า "สักวันหนึ่ง เราจะสามารถประกอบสิ่งต่างๆ ผลิตสิ่งต่างๆ ขึ้นมาจากการจัดเรียงอะตอมด้วยความแม่นยำ และเท่าที่ข้าพเจ้ารู้ ไม่มีกฎทางฟิสิกส์ใดๆ แม้แต่หลักแห่งความไม่แน่นอน (Uncertainty Principle) ที่จะมาขัดขวางความเป็นไปได้นี้"

เค. อีริค เดร็กซเลอร์ (K. Eric Drexler) เจ้าพ่อแห่งนาโนเทคโนโลยี ผู้นิยามคำว่า 'นาโนเทคโนโลยี' นาโนเทคโนโลยีในจินตนาการของ เดร็กซเลอร์ ต้องเหมือนกับต้นไม้ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหรือสารคาร์บอนต่างๆที่นำไปใช้เลี้ยง ลำต้น สร้างใบ ดอก และผล โดยไม่เหลือสิ่งตกค้างใดๆที่เป็นพิษ

ปัจจัยที่จะทำให้นาโนเทคโนโลยีเป็นจริงได้

ปัจจัยแรก ต้องสามารถจับอะตอมให้ได้ทีละอะตอม แล้วจึงนำอะตอมมาเรียงในตำแหน่งที่ต้องการ เพื่อนำมาใช้ในการสร้างอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ นั่นหมายถึง เราจะต้องเข้าใจคุณสมบัติด้านฟิสิกส์ของอะตอมและโมเลกุลอย่างถ่องแท้ ก่อนที่นาโนเทคโนโลยีจะสำเร็จเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้นั้น นักนาโนจะต้องสร้างแขนยนต์ในขนาดนาโนขึ้นมาก่อน ซึ่งเรียกว่า"นาโนยนต์ " โดยนาโนยนต์นี้มีหน้าที่ จับอะตอมและโมเลกุลที่สามารถทำปฏิกิริยากันได้ ไปเรียงตัวใหม่ ในตำแหน่งที่เราต้องการ

ปัจจัยที่สอง คือ ตัวนาโนยนต์ต้องสามารถจำลองตัวเองได้ในขณะที่ผลิตสิ่งต่างๆ ซึ่งการที่นาโนยนต์จะสามารถจำลองตัวเองจาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น4 จาก 4 เป็น 8 ได้นั้นต้องอาศัยซอฟต์แวร์ที่สามารถออกคำสั่งให้นาโนยนต์จำลองตัวเองขึ้นมา ปัจจัยนี้เกิดขึ้นมาเพื่อให้เทคโนโลยีด้านนี้ดำเนินได้อย่างคุ้มทุน ด้วยการที่นาโน-ยนต์สามารถจำลองตัวเองได้นั้น เป็นผลให้ต้นทุนในการสร้างวัตถุต่าง ๆ มีราคาต่ำกว่าต้นทุนในปัจจุบัน ยิ่งมีนาโนยนต์มาก ต้นทุนก็จะยิ่งถูกลง และในขณะเดียวกัน การจัดเรียงอะตอม ยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแม่นยำ ก็จะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง เชื่อถือได้

เทคโนโลยี 3G

เทคโนโลยี 3G คืออะไร

3G หรือ Third Generation เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต

3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น

ลักษณะการทำงานของ 3G เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น
เช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ เทคโนโลยี

3G น่าสนใจอย่างไร
จากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่

เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น

3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดยโทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว “Always On”

คุณสมบัติหลักของ 3G คือ
มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล

ซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G สำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC

น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20


น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 คืออะไร?

คือน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ ที่เกิดจากการผสมระหว่าง น้ำมันเบนซิน 80% กับ แอลกอฮอล์20% (เอทานอล) หรือเรียกโดยย่อว่า E20 โดยรถที่สามารถใช้แก๊สโซฮอล์ E20 จะสามารถใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95, น้ำมันเบนซินออกเทน 91 และน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์(E10) ได้อีกด้วย



ประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจากกาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 คืออะไร?

ความประหยัด เนื่องจากน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 จะมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 ราคารถยนต์ถูกลง รถยนต์ที่ผลิตมาเพื่อรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 จะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ทั่วไป เนื่องจากภาษีสรรพสามิตที่ลดลง

ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

ด้านเศรษฐกิจ
ลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศมีความมั่นคงทางด้านพลังงาน ลดการขาดดุลการค้า โดยทุกลิตรของน้ำมัน E20 สามารถลดการนำเข้าน้ำมันลง 20%
ก่อให้เกิดการลงทุนเพิ่มเติมในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกพืชที่ใช้ผลิตเอทานอล
ประหยัดรายจ่ายภาคครัวเรือน เนื่องจากรถยนต์ E20 และน้ำมัน E20 ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐฯ จึงทำให้ E20 เป็นน้ำมันเบนซินที่มีราคาถูกที่สุด

ด้านสิ่งแวดล้อม
ลดมลพิษทางอากาศ และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเอทานอลเป็นผลิตผลธรรมชาติ ที่สามารถย่อยสลายได้โดยไม่เกิดมลพิษตกค้าง
ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดภาวะโลกร้อน และวิกฤตการณ์ธรรมชาติแปรปรวน

การใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์มีผลดีอย่างไร และทำไมต้องใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์?

ด้านเครื่องยนต์ ช่วยการเผาไหม้สมบูรณ์ จึงทำให้อัตราเร่งดีขึ้น
ด้านเศรษฐกิจ เอทานอลผลิตจากพืชผลทางการเกษตรภายในประเทศ ที่นำมาผสมกับน้ำมัน เบนซิน เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน จึงลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศปีละ 3 พันล้าน ทั้งยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
ด้านสิ่งแวดล้อม เอทานอลผลิตจากพืชผลทางการเกษตร ช่วยลดมลพิษทางอากาศและแก้ไขปัญหา สภาพแวดล้อม

รถยนต์ที่สามารถใช้ E20 ได้

รถยนต์ส่วนใหญ่รุ่นที่ผลิตตั้งแต่ปี 2008 จะผลิตให้รองรับน้ำมัน E-20 ได้ อาทิ
1. HONDA (City-ZX, Civic, Accord, CR-V)
2. MITSUBISHI (Space Wagon 4G69 MIVEC NA4, EFI)
3. NISSAN (Teana, Tida)
4. MAZDA (Mazda 3)
5. FORD FOCUS และ FORD ESCAPE 3.0 L ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2005 และรุ่นที่จะออกตามมาในปี 2008
ข้อแตกต่างของแก๊สโซฮอล์ธรรมดา กับ แก๊สโซฮอล์ E20

“ผศ.ดร.จำนง สรพิพัฒน์ ประธานสายวิชาพลังงาน บัณฑิตวิทยาลัย ร่วมด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ให้คำแนะนำเกี่ยวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ว่า ปัจจุบันแก๊สโซฮอล์ ที่มีใช้อยู่ ในประเทศไทยเป็นแก๊สโซฮอล์ E10 ซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 10% ด้วยคุณสมบัติหลายประการที่ใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซิน จึงสามารถนำแอลกอฮอล์ มาผสมเพื่อทดแทนส่วนของน้ำมันได้บางส่วน โดยไม่มีผลกระทบต่อ สมรรถนะของรถยนต์มากนัก”

“อย่างไรก็ดี การเพิ่มสัดส่วนของแอลกอฮอล์ ในน้ำมันอีก 10% กลายเป็นแอลกอฮอล์ 20% (ที่ เหลือเป็นน้ำมันเบนซิน 80%) ทำให้คุณสมบัติของเชื้อเพลิงในส่วนที่เป็นองค์ประกอบ ของแอลกอฮอล์ ซึ่งแตกต่างจากน้ำมันปรากฏมากขึ้น จึงอาจมีปัญหากับเครื่องยนต์และรถบางรุ่น”

“แอลกอฮอล์บริสุทธิ์มีคุณสมบัติเด่นหลายประการที่ต่างจากน้ำมันเบนซิน เช่น จุดเดือด ของแอลกอฮอล์จะต่ำกว่าน้ำมันทำให้มีแรงดันไอมากกว่า ซึ่งจะมีปัญหากับรถบางรุ่น โดยเฉพาะรถรุ่นเก่าที่ใช้คาร์บิวเรเตอร์ที่มี
ถังน้ำมันติดตั้งห่างจากตัวเครื่องยนต์มากเกินไป หรือรถยนต์ที่มีขนาดของท่อเชื้อเพลิงที่เล็กเกินไป”

“ทำให้แอลกอฮอล์ที่อยู่ในท่อเชื้อเพลิงเปลี่ยนสภาพจากของเหลวเป็นไอได้ง่าย เนื่องจากความฝืดของท่อมีมากเกินไป ทำให้มีลักษณะเป็นฟองอยู่ในท่อดูดเชื้อเพลิง”

“ส่งผลให้การหมุนของเครื่องยนต์มีความเร็วรอบไม่สม่ำเสมอ เครื่องจะกระตุกหรือดับ ในบางช่วง นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังมีคุณสมบัติกัดกร่อนสูง ยิ่งสัดส่วนของแอลกอฮอล์ ในน้ำมันมากขึ้น จะยิ่งเพิ่มคุณสมบัติการกัดกร่อนให้เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งสามารถกัดกร่อนยาง พลาสติกบางชนิด และโลหะประเภททองเหลือง ทองแดง”

“ดังนั้น รถยนต์ที่มีอะไหล่เป็นยาง หรือโลหะทองเหลือง ทองแดงที่ไม่ได้รับการออกแบบ และผลิตออกมาให้ทนต่อการกัดกร่อนของแอลกอฮอล์เป็นพิเศษ จะไม่สามารถทนต่อ การกัดกร่อนได้ อาจส่งผลให้ท่อส่งน้ำมันไปจนถึงถังน้ำมันเกิดการผุกร่อน จนทะลุได้ภายในระยะเวลาประมาณครึ่งปี-1 ปี”

“ด้วยเหตุนี้รถยนต์ที่สามารถใช้เชื้อ เพลิงแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ จึงต้องเป็นรถที่ผลิตด้วยยาง หรือพลาสติกที่ทนต่อการกัดกร่อนได้ รวมถึงต้องออกแบบองศาการจุดระเบิด ให้เหมาะสมกับเชื้อเพลิงด้วย เพื่อให้ เชื้อเพลิงสามารถเผาไหม้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด”

ระบบชาร์จไฟไร้สาย

ในที่สุดวันนี้ที่รอคอยก็มาถึง กับชีวิตที่ไม่ต้องวุ่นวายเรือง สายอีกต่อไป เราคงเป็นอิสระซักที จากการเลิก
เสียเวลาไปหลายนาทีกับแกะสายชาร์จที่ พันกันจนอีรุงตุงนัง

วันนี้ก็เลยมา Update Trend โดนใจ และ ตื่นเต้นรอคอยมาก ๆ เป็น Live Trend ที่น่าจับตามอง

" ระบบชาร์จไฟไร้สาย "

เทคโนโลนีซึ่งได้รับการคุ้มครองจากสิทธิบัตร ซึ่งเป็นแนวความคิดของบริษัท Fulton Innovations ที่เรียกว่า eCoupled Technology

บริษัทได้เปรียบเทียบแนวคิดนี้กับการเชื่อมโยงเครือขายแบบไร้สายที่เป็นมาตรฐานซึ่งได้ถูกจัดให้อยู่ภายแบรนด์ WiFi เพื่อทำให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต่างบริษัทกันสามารถผลิตอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ด้วยเทคโนโลยี eCoupled ของบริษัทซึ่งได้คว้าสิทธิบัตรใหม่ 20 ใบในปี 2007 นั้น อุปกรณ์หลากหลายชนิดก็จะสามารถใช้งานแท่นชาร์จไฟเดียวกันได้ เป็นการขจัดเรื่องยุ่งยากของเรื่องสายและหม้อแปลงที่แยกกันกันท่ีถูกใช้โดยมือถือ , เครื่องเล่น MP3 หรืออุปกรณ์อื่นๆที่แตกต่างกันวิธีการเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นนั้นเป็นตัวเชื่อมช่องว่างระหว่างแท่นชาร์จไฟและตัวอุปกรณ์ที่วางอยู่บนแท่นโดยการใช้สนามแม่เหล็กเพื่อจะส่งผ่านพลังงานระหว่างคอยล์ของทั้งแต่ละตัว ซึ่งแท่นชาร์จส่วนมากเช่นพวกที่ใช้โดย Ipod และ Iphone นั้นจะมีการสัมผัสของโลหะด้วยตรงเพื่อจะส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าไปยังแบตเตอรี่ที่อยู่ภายในความได้เปรียบของเทคโนโลยี eCoupled นั้นอยู่ที่ความเรียบง่ายและความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์หลายชนิด

ที่ใช้กันมาบ้างแล้ว
นอกจากนั้นเทคโนโลยีนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วในเครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือนหลายชนิดตั้งแต่แปรงสีฟันของ Philips --- ไปถึงเครื่องกรองน้ำ eSpring ของ Amway ---นั้นได้ใช้เทคโนโลยี Inductive Coupling หรือ วิธีเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อที่จะทำการชาร์จไฟหรือสำรองพลังงานตรงโดยปราศจากการสัมผัสโลหะต่อโลหะแต่อย่างใดสิ่งที่เป็นใหม่นั้นก็คือความที่จะติดตั้งพื้นฐานทางอุตสาหะกรรมสำหรับการชาร์จไฟแบบไร้สาย

eCoupling กับการใช้งานสำหรับ อุปกรณ์ไร้สาย
eCoupling ในอุปกรณ์เคลื่อนที่นั้นอาจเปิดทางแก่ความเป็นไปได้สำหรับสถานีชาร์จไฟไร้สายสาธารณะ , แม้กระทั่งสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้สายเชื่อมต่อเช่นอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่มีตัวเชื่อมต่อของ Apple ติดมาด้วยการเพิ่มการสนับสนุนสำหรับวิธีเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้านั้นมีราคาที่ค่อนข้างจะถูก , Dave Baarman , กรรมการบริษัท Fulton ได้บอกสื่อไว้ว่า ระบบนั้นแค่ต้องการคอยล์ที่ขนาดเท่ากับเหรียญ 25 เซนต์แต่บางกว่า และแผ่นวงจร กับซอฟท์แวร์ที่สนับสนุน ซึ่งค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนี้อาจชดเชยในค่าประกันที่ถูกกว่าสำหรับการที่สายและตัวเชื่อมต่อนั้นขาด, สึกกร่อนหรือว่าแตกหักได้

Fulton ได้ทำรายชื่อของหุ้นส่วนจำนวนหนึ่งที่คาดว่าจะนำเทคโนโลยีใหม่นี้ไปใช้ ซึ่งก็รวมผู้ผลิตเครื่องมือในเยอรมัน Bosch และผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์สำหรับออฟฟิศ Herman Miller อีกทั้งยังชี้ว่าบางบริษัทได้เสนอผลิตภัณฑ์ที่จะใช้เทคโนโลยีนี้แล้ว ซึ่งก็รวมไปถึงผู้ผลิต PC Lenevo ด้วยBaarma บอกว่าชื่อของหุ้นส่วนรายอื่นๆนั้นไม่ได้ถูกเปิดเผยเนื่องจากข้อตกลงเรื่องความลับแม้ว่าเขาจะได้สาธิตอุปกรณ์รุ่นต้นแบบที่ใช้่การชาร์จไฟแบบไร้สายไล่ตั้งแต่เครื่องย่างพกพาของ George Foreman ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือ Iphone

คงต้องรออีกนิด
"ข้อเสียเปรียบของมันก็คือประสิทธิภาพที่ด้อยกว่าและการที่สำรองได้แต่พลังงานไฟฟ้าเท่านั้น" ซึ่งสายชาร์จของ Ipod หรือที่เราเรียกกันว่า Dock นั้นไม่เพียงแต่จะให้พลังงานไฟฟ้าเท่านั้นแต่ยังส่งข้อมูลเสียงและภาพและยังทำให้ข้อมูลไฟล์มีเดียต่างๆนั้นมีความสอดคล้องกัน ( Synchronize )

ด้วยการใช้สัญญาณ USB พื้นฐานด้วยเทคโนโลยีที่จะจัดการและส่งออกข้อมูลดิจิตอลแบบไร้ผ่านระบบ WiFi นั้นยังค่อนข้างจะใช้งานจริงไม่ได้เสียเท่าไหร่ ระบบ WiFi 802.11 bและg นั้นส่งผ่านข้อมูลอยู่ราวๆ 3 เมกกะไบท์ต่อวินาทีในสภาพเชื่อมต่อที่สมบูรณ์ที่สุด ในขณะที่ USB สามารถจัดการข้อมูลผ่านสายไฟด้วยความเร็วที่เร็วกว่าอย่างน้อยสิบเท่าตัวที่ 30 เมกกะไบท์ต่อวินาทีหรือสูงกว่าการส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายแบบรวดเดียวอย่างการทำการ synchronize ไฟล์ภาพและเสียงนั้นทำให้เกิดภาระกับตัวแบตเตอรี่ของอุปกรณ์เคลื่อนที่นั้นๆขๆด้วย คู่กับการชาร์จไฟที่ช้าของวิธีแบบเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแล้ว แนวคิดของการใช้ชีวิตโดยปราศจากสายไฟต่างๆอย่างสิ้นเชิงนั้นดูเหมือนจะห่างไกลอยู่หลายปี

อย่างไรก็ตาม, eCoupling นั้นน่าจะก้าวหน้าขึ้นตามเทคโนโลยี WiFi และ แบทเตอรี่ที่พัฒนาขึ้นด้วย สำหรับอุปกรณ์อื่นๆที่ไม่ต้องการการจัดการสอดคล้องของข้อมูลนั้น เจ้าเทคโนโลยีใหม่นี้นั้นจะมอบศักยภาพโดยตรงที่จะลดความยุ่งยากของจำนวนที่ชาร์จถ่านที่ผู้บริโภคจะต้องการเพื่อที่จะทำการชาร์จไฟเครื่องมือไร้่สายและอุปกรณ์อื่นๆ