ไขข้อข้องใจ อะไรคือ 3G และ 4G



แรกสุดขอให้เข้าใจว่า มือถือที่เราคุ้นเคยกันมานาน ใช้โทรคุยด้วยเสียง ใช้ส่ง SMS ได้
ถูกเรียกว่าเป็นมือถือแบบ 2G อันนี้ทุกคนคงเข้าใจตรงกัน
ยุคต่อมา เมื่อผู้ใช้มีความต้องการให้มือถือต่ออินเทอร์เน็ตได้ ทางบริษัทมือถือก็ทำเทคโนโลยีชื่อ
EDGE ที่เล่นเน็ตได้บนระบบ 2G ขึ้นมา ยุคนี้เทียบเป็นตัวเลขคือ 2.5G
แต่ความต้องการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงก็ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เราจึงเข้าสู่ยุค 3G
ที่เอาเข้าจริงแล้วแบ่งเป็นรุ่นย่อยๆ มากมาย
3G รุ่นแรกในบ้านเราคือระบบของ Hutch ที่ความเร็วสูงกว่า EDGE แต่ก็ยังไม่เยอะมากนัก
ส่วน 3G ที่เราเห็นโฆษณากันในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นของ AIS/DTAC/TRUE น่าจะเรียกว่าเป็น
3.5G หรือ 3.7G ที่มีความเร็วเพิ่มกว่า 3G ยุคแรกมาก
ชื่อมาตรฐานทางเทคนิคในยุค 3.5G-3.75G จะขึ้นต้นด้วย “HS” ครับ ซึ่งมีหลายตัวอย่างเช่น
 HSDPA, HSUPA, HSPA+ ซึ่งผมคงไม่ลงรายละเอียดเพราะจะงงกันเปล่าๆ แต่สรุปง่ายๆ
 ว่าถ้าเห็นชื่อเหล่านี้ ให้เข้าใจว่ามันคือเทคโนโลยียุค 3.5G หรือ 3.75G ประมาณนี้

ตัวอย่างโฆษณา LTE ของ Verizon ในสหรัฐ ที่ใช้ตัวเลข 4G
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่า 4G คืออะไร? คำตอบแบบง่ายๆ ฟันธงไม่มีครับ เพราะ 4G
 มีความหมายทั้งในแง่มาตรฐานทางเทคนิคและชื่อทางการค้า
ช่วงนี้เราจะเริ่มเห็นเทคโนโลยีชื่อว่า LTE กันบ้างแล้ว ตามความหมายทางวิศวกรรมแล้ว LTE น่าจะถือเป็นยุค 3.9G แต่ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ-โอเปอเรเตอร์ในต่างประเทศต่างโฆษณา
ในเชิงพาณิชย์ว่า LTE เป็น 4G กันเรียบร้อยแล้ว เพื่อหวังผลทางการตลาดให้รู้สึกว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่กว่า 3G
บางประเทศเริ่มให้บริการ LTE กันแล้ว เช่น ในสหรัฐ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ตอนนี้ผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ๆ
อย่างซัมซุงหรือแอลจีก็เริ่มทำมือถือที่มี LTE ขายกันแล้ว เพียงแต่ยังขายเฉพาะในประเทศที่มี LTE
 บริการเท่านั้น (อีกไม่ช้าเราจะได้เห็น iPhone LTE อย่างแน่นอนครับ)
ผมขอสรุปแบบรวบรัดว่า ในที่สุดแล้วเราคงจะต้องเรียกเทคโนโลยี LTE ว่าเป็น 4G อย่างแน่นอน
เพราะพลังแห่งการประชาสัมพันธ์ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า LTE คือ 4G กันอย่างแพร่หลาย
ข้อดีของ LTE ก็คือมันเร็วขึ้นกว่า 3G ในปัจจุบันอีกหลายเท่า ซึ่งจะช่วยให้เราใช้งานมือถือในรูปแบบใหม่ๆ
 ได้อีกมาก (เช่น ดูหนังผ่านมือถือแบบที่ไม่ต้องโหลดหนังเก็บไว้ก่อน)
อีกประเด็นที่ต้องชี้แจงให้ชัดคือ 2G/3G/4G สามารถใช้งานพร้อมกันได้นะครับ เพราะมือถือหนึ่งเครื่อง
จะรองรับทั้ง 3 ระบบ ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มี 4G รองรับก็ใช้เน็ตเร็วหน่อยผ่าน 4G, ถ้าไม่มี 4G ให้ใช้ก็ถอยลงมาใช้
 3G ที่ช้าลงมาหน่อย หรือถ้าจะคุยด้วยเสียงอย่างเดียวก็ใช้แค่ 2G ที่เมืองไทยมีโครงข่ายครอบคลุมมาตั้งนานแล้วก็พอ

Credit : โดย อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์
เผยแพร่ครั้งแรกใน ไทยรัฐออนไลน์ 1 มีนาคม 2555 /