| ประโยชน์ ของ CDMA2000 1x ตอบสนองเรื่องการรองรับเสียงและข้อมูล เทคโนโลยี CDMA2000 1x สามารถรองรับการส่งสัญญาณทั้งในรูปของของเสียงและข้อมูล ผ่านช่องสัญญาณระบบ CDMA มาตรฐาน ขนาด 1.25 MHz ซึ่งให้ประสิทธิภาพเหนือกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ หลายประการ | ||||||||||||||
| ||||||||||||||
โทรศัพท์ระบบ CDMA2000 1x ยังสามารถเปิดเครื่องรอรับสายได้นานกว่า เนื่องจากระบบ CDMA2000 1x ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของเทคโนโลยี CDMA ในยุคแรก จึงทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถอัพเกรดระบบของตนได้ง่ายดาย และในราคาประหยัด สำหรับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือสามารถใช้เครื่องเดิมของตน ติดต่อผ่านโครงข่ายที่ได้รับการอัพเกรดใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่ อย่างใด | ||||||||||||||
ประโยชน์ ของ CDMA2000 1xEV-DO โดดเด่นเรื่องการส่งข้อมูลความเร็วสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบริการส่งข้อมูลความเร็วสูง หรือต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งข้อมูล ระบบ CDMA2000 1xEV-DO จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อมูลได้มากกว่า 2 Mbps โดยมีค่าเฉลี่ยความเร็วมากกว่า 700 kbps เทียบเท่ากับการส่งสัญญาณด้วยสายแบบ DSL และมีความเร็วเพียงพอที่จะรองรับการใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพในการส่ง ข้อมูลความเร็วสูง อาทิ ภาพวีดีโอ และดาวน์โหลดข้อมูลขนาดใหญ่ ทั้งนี้ การส่งข้อมูลด้วยระบบ CDMA2000 1xEV-DO นับเป็นเทคโนโลยีการส่งข้อมูลที่มีต้นทุนต่ำที่สุด เมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อเมกกะไบต์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายเป็นที่ แพร่หลายอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์ 1xEV-DO ยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลแบบแพ็กเกจ “always-on” ซึ่งช่วยให้การใช้ระบบไร้สายมีความสะดวกรวดเร็วและเกิดประโยชน์มากกว่าที่ เคยเป็นมา
|
ระบบ CDMA2000 ตอบสนองเรื่องการรองรับเสียงและข้อมูล
สดุดีพลตำรวจเอก สมเพียร เอกสมญา "จ่าเพียร นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด และ จ่าเพียร ขาเหล็ก"

วันนี้ขอมอบ Blog Live Trend ให้กับวีรกรรมความกล้า ของวีรบุรุษของเรา แด่ "จ่าเพียร นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด" ขอให้เรื่องราวความกล้าขอท่าน อยู่ในสำนึกของคนไทยตลอดไป
พลตำรวจเอก สมเพียร เอกสมญา (6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493[1] — 12 มีนาคม พ.ศ. 2553) เป็นอดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา จังหวัดยะลา รับราชการตำรวจตั้งแต่เป็น พล ตำรวจ จนถึงยศ พันตำรวจเอก และได้รับพระราชทานยศ พลตำรวจเอก เป็นกรณีพิเศษ ได้ฉายาว่า จ่าเพียร นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด และ จ่า เพียร ขาเหล็ก เนื่องจากยึดการลาดตระเวนด้วยเท้าเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ โดยปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเวลากว่า 30 ปี ผ่านการปะทะกับกลุ่มก่อความไม่สงบมานับร้อยครั้ง ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ หลายต่อหลายหนจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ต่อมาได้รับการโปรดเกล้าฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวรับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญรามมาลา เข็มกล้ากลางสมร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง และกระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พล.ต.อ.สมเพียร เกิดที่จังหวัดสงขลา จบการศึกษาจาก โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา เมื่อพ.ศ. 2513 เริ่มต้นชีวิตรับราชการตำรวจที่ สภอ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งในขณะนั้น พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตเคลื่อนไหวของขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน ทำให้ภาครัฐต้องระดมสรรพกำลัง ทั้งทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง เข้าไปแย่งชิงมวลชน และดูแลความสงบเรียบร้อย หลายครั้งที่เกิดการปะทะ ทำให้มีการสูญเสียอย่างหนักทั้งสองฝ่าย เคยต่อกรกับกลุ่มที่ยืนตรงข้ามกับรัฐแทบทุกกลุ่ม ทั้งโจรจีนคอมมิวนิสต์ ขบวนการโจรก่อการร้าย และกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เคยผ่านการยิงปะทะมาแล้วนับร้อยครั้ง สามารถสังหารฝ่ายตรงข้าม ยึดอาวุธปืน และที่พักเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลในการนำกำลังเข้าปะทะกับโจรก่อการร้ายดังกล่าว ทำให้ได้รับบาดเจ็บทั้งเล็กน้อยและสาหัสถึง 8 ครั้ง
เมื่อปี พ.ศ. 2519 พล.ต.อ.สมเพียร ในขณะที่ยังมียศ จ.ส.ต. เปิดฉากยิงปะทะกับขบวนการโจรก่อการร้าย กลุ่มนายลาเตะ เจาะปันตัง ที่จับตัวตำรวจและครอบครัวไปเรียกค่าไถ่ที่เทือกเขาเจาะปันตัง อำเภอบันนังสตา ผลจากการปะทะเขาถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาซ้ายและหน้าอก ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกส่งรักษาตัว รพ.ศูนย์ยะลา และจากการปะทะในครั้งนี้ทำให้ขาข้างซ้ายแทบพิการ
ปี พ.ศ. 2526 ยิงปะทะกับขบวนการโจรก่อการร้าย กลุ่มนายคอเดร์ แกแตะ กับพวกประมาณ 30 คนที่ อำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา ถูกยิงที่ต้นขาขวากระสุนฝังใน
ปี พ.ศ. 2550 พล.ต.อ.สมเพียร กลับสู่บันนังสตา มารับตำแหน่ง ผกก.สภ.บันนังสตา ติดยศ พ.ต.อ. ในขณะที่แผ่นดินกำลังลุกเป็นไฟ กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ สามารถจัดตั้งแนวร่วมฯ และกองกำลังรบขนาดเล็ก (RKK) เพื่อใช้ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ ให้ได้รับความสูญเสียเป็นจำนวนมาก ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ถูกลอบยิง วางระเบิด ฆ่าตัดคอ ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง นับเป็นงานที่หนักและท้าทายอย่างมาก แม้รูปแบบการก่อความไม่สงบของกลุ่มคนร้ายได้ปรับเปลี่ยนไปจากเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วมาก แต่อาศัยเป็นผู้ชำนาญในพื้นที่มาก่อน และมีแหล่งข่าวเก่าที่เคยทำงานร่วมกันในอดีต จึงไม่เกินความสามารถที่จะที่จะสืบเสาะหาแหล่งกบดาน และติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ และหลังจากเข้ามารับตำแหน่ง ผกก.สภ.บันนังสตาได้ไม่นาน วันที่ 1 สิงหาคม 2550 ได้ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดเข้าปิดล้อมตรวจค้น และยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้ายที่บ้านเตี๊ยะ หมู่ 5 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา กลุ่มนายสุริมิง เปาะสา ที่ก่อเหตุร้ายในพื้นที่หลายครั้ง ผลการปะทะ ทำให้กลุ่มคนร้ายเสียชีวิต 6 ราย สามารถยึดอาวุธปืนสงครามและยุทธภัณฑ์ได้เป็นจำนวนมาก[2]
วันที่ 18 สิงหาคม 2550 สนธิกำลังเข้าติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมายในพื้นที่หมู่บ้านตะโล๊ะซูแม อ.กรงปินัง จ.ยะลา ได้ยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย 5 นาที คนร้ายเสียชีวิต 1 คน ยึดอาวุธปืนพกขนาด 11 มม. 1 กระบอก[3]
วันที่ 30 ตุลาคม 2550 นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าทำการติดตามจับกุมกลุ่มคนร้าย ที่หมู่ 2 บ้านกือลอง ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา เกิดการปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย ประมาณ 20 นาที ฝ่ายคนร้ายเสียชีวิตใน ที่เกิดเหตุจำนวน 2 ราย ยึดอาวุธปืนพกได้ 1 กระบอก พร้อมยุทธภัณฑ์จำนวนหนึ่ง[4]
วันที่ 29 มกราคม 2551 สนธิกำลังร่วมกับฝ่ายทหาร และฝ่ายปกครอง จัดกำลังเข้าไปติดตามจับกุมคนร้ายในพื้นที่ หมู่บ้านบูกาซาแก่ หมู่ 1 ต.บาเจาะ อ.บาเจาะ จ.ยะลา เกิดการยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย เป็นเหตุให้ จ.ส.ต.ศรศักดิ์ รักนาย ผบ.หมู่ (ป.) สภ.บันนังสตา ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต และฝ่ายคนร้ายถูกยิงเสียชีวิตจำนวน 1 ราย ทราบชื่อ นายสุไลมาน อภิบาลแบ เป็นผู้ต้องหาสำคัญตามหมายจับของศาล จังหวัดยะลาหลายคดี[5]
วันที่ 19 เมษายน 2551 โดยในวันที่ 18 เมษายน 2551 ได้รับรายงานจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ กลุ่มของนาย หะยีสการียา หะยีสาเมาะ แกนนำสำคัญของกลุ่มก่อความไม่สงบ กับพวกประมาณ 13 คน ได้ปรากฏตัว และหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ บ้านตือระ หมู่ที่ 8 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา จึงได้สนธิกำลัง 3 ฝ่าย เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งการเข้าไปปฏิบัติการกระทำได้ยากลำบาก เนื่องจากมีแนวร่วมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอยู่เต็มพื้นที่ และรอบ ๆ จึงได้ปรับเปลี่ยนยุทธวิธี โดยขนย้ายกำลังข้ามแม่น้ำปัตตานี ซึ่งอยู่ตรงข้ามเป้าหมาย เพื่อตัดโอกาสแจ้งข่าว จึงได้ลำเลียงกำลังพลข้ามแม่น้ำปัตตานี โดยใช้แพยางลอยคอเกาะกลุ่มกันไปท่ามกลางกระแสน้ำ ที่เชี่ยวกราก และเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง จาก การยิงปะทะต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ในสถานการณ์ที่ไม่ได้เปรียบกับฝ่ายตรงข้าม สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามจำนวน 1 ราย ทราบ ชื่อ นายเพาซี อาลีเมาะ แนวร่วมคนสำคัญที่ก่อเหตุมาหลายครั้ง[6]
วันที่ 23 พฤษภาคม 2551 ได้สนธิกำลังเข้าไปติดตามจับกุมคนร้ายในพื้นที่บ้านบาเจาะ หมู่ 2 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา และเกิดการยิงปะทะต่อสู้กัน เป็นเหตุให้คนร้ายเสียชีวิตจำนวน 1 ราย ทราบชื่อ นายมะ แวดอนิ อายุ 24 ปี สามารถยึดอาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. ได้จำนวน 1 กระบอก ตำรวจบาดเจ็บ 8 นาย[7]
วันที่ 23 มิถุนายน 2551 รับรายงานจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ที่ได้ก่อเหตุซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ชุดพลร่ม ซึ่งเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตจำนวน 1 นาย และบาดเจ็บจำนวน 5 นาย ได้หลบซ่อนตัวอยู่หลังหมู่บ้านบางกลาง หมู่ที่ 3 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา จึงได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อส. เข้าติดตามจับกุมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ โดยจัดกำลังชุดปฏิบัติการ 4 ชุด ต่อมาเมื่อเวลา 16.05 น. ชุดปฏิบัติการที่ 3 ได้ยิงปะทะสู้กับกลุ่มของคนร้าย เป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิต 1 ราย ต่อมาชุดปฏิบัติการที่ 2 ยิงปะทะต่อสู้กับกลุ่มคนร้าย เป็นเหตุให้ฝ่ายคนร้ายเสียชีวิตอีก 1 ราย ก่อนขอกำลังสนับสนุนสังหารกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเพิ่มขึ้นอีก 4 ราย ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 4 ราย[8]
นอกจากนี้ยังได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และพลเรือน เข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายอีกหลายครั้ง สามารถจับกุม สร้างความสูญเสียให้กับกลุ่มคนร้าย และทำลายฐานที่มั่นได้หลายแห่ง จนขบวนการกลุ่มก่อความไม่สงบรวมตัวกันไม่ติด หนีหลบซ่อนออกนอกพื้นที่และบริเวณป่าเขา ทำให้เหตุร้ายในพื้นที่ อ.บันนังสตา เบาบางลงมาก
ถึงแม้ว่า พล.ต.อ.สมเพียร จะมีความสามารถในงานสืบสวน ปราบปราม แต่งานมวลชนก็ไม่ได้ละทิ้ง ยังคงติดต่อฟื้นสายสัมพันธ์เก่ากับประชาชนทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่ ที่เคยทำงานร่วมกันมเมื่อครั้งอดีตด้วยใจถึงใจต่อกัน มีกิจกรรมใดๆที่เกี่ยวกับการสร้างความเข้าใจและความรู้สึกอันดีกับชุมชน พล.ต.อ.สมเพียร ไม่เคยที่จะปฏิเสธในการเข้าไปมีส่วนร่วม แม้จะรู้ว่ามีอันตรายแฝงอยู่ในทุกย่างก้าว และเป็นกันเองกับผู้ใต้บังคับบัญชา
ซึ่งหลังจากทำงานในพื้นที่มาอย่างโชคโชนและยาวนาน ทำให้ทางครอบครัวเกิดความวิตกพร้อมทั้งขอให้เปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น "ภูวพงษ์พิทักษ์" เพื่อเป็นสิริมงคล แต่ พล.ต.อ.สมเพียร ได้ขอกลับมาใช้นามสกุลเดิม ส่วนนามสกุลใหม่มีภรรยาและบุตรชายคนที่ 2 - 3 ใช้ จนกระทั่งวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 กลุ่มคนร้ายได้ลอบวางระเบิดขึ้นหลายจุดในพื้นที่วางแผนให้ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา นำกำลังเดินทางเข้าไป จนถูกคนร้ายระเบิดรถยนต์ที่นั่งคันเดียวกันนี้ ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะเล็กน้อย บริเวณบ้านยีลาปัน หมู่ที่ 11 ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา บนถนนสาย 410 ยะลา – เบตง
ชีวิตส่วนตัว พล.ต.อ.สมเพียร สมรสกับ นางพิมพ์ชนา ภูวพงษ์พิทักษ์ มีบุตรชาย 4 คนได้แก่ นายชุมพล เอกสมญา, นายเสรฐวุฒิ เอกสมญา, นายอรรถพร เอกสมญา และ ส.ต.ท.โรจนินทร์ ภูวพงศ์พิทักษ์ [1]
พล.ต.อ.สมเพียรได้รับการโปรดเกล้าฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวรับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญมาลาเข็มกล้ากลางสมร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง และกระทำพิธี ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2525 และนับเป็น ตำรวจเพียงคนเดียวในขณะมียศ "จ่าสิบตำรวจ" ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนั้น[16] นอกจากนี้ พล.ต.อ.สมเพียร ยังได้รับพระราชทาน และประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานต่างๆ อีกมากมาย เช่น
- ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนชั้นสอง ประเภทหนึ่ง
- ได้รับประกาศนียบัตร ”ผู้มีผลงานสู้รบดีเด่น” จากกระทรวงมหาดไทย
- ได้รับเข็มรักษาดินแดนสดุดี จากกระทรวงมหาดไทย
- ได้รับมอบเกียรติบัตรผู้ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติด้วยความเสียสละ จากองค์การทหารผ่านศึก
- ไดัรับประกาศผู้มีผลงานดีเด่นด้านการปราบปราม จากกองบัญชาการตำรวจภูธร 9
- ได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์เก่า โรงเรียนตำรวจภูธร 9 ดีเด่น
- ได้รับหนังสือสำคัญ จากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต ) ยกย่องเชิดชู เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดน และรักษาความสงบสุขของบ้านเมือง ด้วยความเข้มแข็งเสียสละ ฯลฯ
ภายหลังการเสียชีวิต ได้รับพระราชทานเครื่องราช อิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) เป็นกรณีพิเศษ [14]
การดื่มน้ำที่ถูกต้อง จากคุณหมอ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ
ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่
ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน
สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ
ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ
และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว
ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป
จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด
เข้าเส้นเลือด
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า
เลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น
ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย?าหารด้วย
เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน
มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ
เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง
อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ
ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น
ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ
หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว
ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ
ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก
www.wowishop.com ร้านความสวยความงามของคุณ
iPad เครื่องมือคู่กายแห่งอนาคต



เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับกับ iPad ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง iPhone กับ Macbook รวมร่างกันจนออกมาเป็นเจ้า iPad จะว่าไปรูปร่างหน้าตาเหมือน iPod touch ยักษ์ มากกว่า
ขนาดตัวเครื่อง สูง 9.56 นิ้ว กว้าง 7.47 นิ้ว หนาเพียงครึ่งนิ้ว และน้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม หน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว LED-backlit glossy widescreen Multi-Touch IPS technology 1024*768 pixelมีมาให้เลือกแบบ WiFi และ WiFi+3G
Wi-Fi
* Wi-Fi (802.11 a/b/g/n)
* Bluetooth 2.1 + EDR technology
Wi-Fi + 3G
* UMTS/HSDPA (850, 1900, 2100 MHz)
* GSM/EDGE (850, 900,1800, 1900 MHz)
Safari
ขนาดหน้าจอ Multi-Touch ใน iPad ที่ใหญ่ ช่วยให้คุณดูหน้าเว็บได้ชัดเจน ทั้งสีสันที่สดใส และตัวอักษรที่มองง่าย และที่สำคัญคุณยังสามารถสั่งการได้อย่างใจคิดด้วยนิ้วมือของคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นการเปิด การย้าย ก็สามารถใช้ได้อย่างรวดเร็ว
Video
ด้วยจอภาพที่คมชัดและมีขนาดใหญ่ ทำให้คุณสามารถรับชมภาพยนตร์ในระบบ HD ได้อย่างสบาย สามารถสั่งการเพียงปลายนิ้วสัมผัส wide-screen และ full-screen
Photo
การแชร์รูปภาพแบ่งปันให้กับเพื่อนๆทำได้โดยง่าย สามารถจัดแบ่งหมวดหมู่ พร้อมโชว์รูปของคุณบนหน้าจอที่คมชัด และแน่นนอการจัดการก็ทำได้โดยนิ้วสัมผัส หมุน ขยาย ย่อ
iPod
ด้วยความจุที่มีให้เลือกมากมาย เสียงเพลงจึงพกติดตัวคุณไปได้ทุกที่ พร้อมลำโพงในตัวอีกด้วย หรือจะเป็นหูฟัง Bluetooth wireless
Maps
เปิดโลกกว้างในจอที่ใหญ่ คุณสามารถหาร้านค้าต่างๆ หรือร้านอาหารได้โดยง่าย
Youtube
เข้าถึงการใช้งานได้ง่าย รวมทั้งยังสามารถดูคลิปในแบบ HD ได้อย่างสบาย
iBook
ย่อหอสมุดมาไว้ในมือคุณ ให้คุณได้อ่านหนังสือที่คุณชอบได้ทุกที่ หรือ ต้องการสั่งซื้อก็ทำได้โดยง่ายผ่านทาง Apps Store
iTunes
นอกจากจะเป็น iPod แล้ว ยังมี iTunes อยู่ในตัวอีกด้วย ทีนี้คุณก็สามารถจะเช่า หรือ ซื้อ เพลง ภาพยนตรื ที่คุณต้องการ ผ่าน iTunes Store
Mails
ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ ทำให้การเช็คอีเมล์ทำได้ง่าย ด้วยนิ้วของคุณเอง
Games
ด้วยขุมพลังของชิพ A4 จาก Apple ทำให้คุณทั้งเล่นเกมส์ ดูหนัง ได้อย่างสบายๆ โดยสามารถอยู่ได้นานถึง 10 ชม.
iPad Accessories
ซองใส่ที่สามารถปรับได้หลากหลาย เหมาะสมทุกการใช้งาน หรือจะเป็น Dock ที่ยังมีแบบมาพร้อมคีย์บอร์ด ที่ทำให้การใช้งานทำได้มากขึ้น และเร็วขึ้น
ราคา iPad เรียงตามขนาดความจุ
WiFi : 16Gb 17,465 // 32Gb 20,965 // 64Gb 24,465
WiFi +3G : 16Gb 22,015 // 32Gb 25,515 // 64Gb 29,015
Google Guru เรื่องที่เราถาม มีคนตอบ Trend ใหม่ของคนถาม/ตอบ

Google Guru มีมาพักใหญ่แล้วล่ะครับ แต่ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้นำมาเขียน เรามาลองเล่นกันดูเลยนะครับ มาที่นี่ครับ http://guru.google.co.th เริ่มต้นนะครับ เราก้อเข้าไป Log in ตามปรกติครับ หลังจากนั้นก้อ เริ่มเข้าใช้งานได้ทันที
Google Guru มีหน้าตาที่เรียบง่ายมากครับ ตามแบบฉบับบของ Google เป็นเวบที่ทำมาเพื่อการถามตอบโดยเฉพาะจริงๆ ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเลย ง่ายดีซะด้วย กระทั่ง โฆษณาตอนนี้ก็ไม่เห็นมีการใช้งานที่เรีบง่าย เช่น ปุ่มตั้งกระทู้ก้อหาง่ายมาก หรือบ้างครั้งที่เราอยากค้นหาอะไรในเรื่องที่สนใจสามารถเขียนลงในช่องค้นหาได้เลย
และเมื่อข้อความที่เรา post ทิ้งไว้มีคนใจดีมาตอบ ก้อจะถูกส่งมาเตือนเราทาง Email ด้วยครับ
เพราะบางครั้ง เราอาจจะลืมไปแล้วว่า Post อะไรไป (ผมลืมบ่อย อาจเป็นเพราะเข้าไปหาที่เรา Post ไว้ไม่เจอ )
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ Google จะให้คะแนนการเข้ามาในแต่ละวัน และถ้าเราตอบคำถามเยอะ ก้อจะได้คะแนนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้ที่ตอบคำถามรู้สึกว่าอยากตอบ และคำถามที่ถูก Post ก้อได้รับการตอบทุกข้อ
by Legend 0f Grace