
เปิดตัวกันไปเรียบร้อยสำหรับ Samsung Galaxy S III ที่มาพร้อมกับคอนเซปท์ Designed for Humans,
Inspired by Nature ถ้าแปลแบบตรงๆตัวก็ "ดีไซน์มาให้มนุษย์ ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ"
ซึ่งอาจจะฟังดูงงๆว่า ถ้ามันไม่ได้ออกแบบมาให้มนุษย์ใช้ แล้วมันจะออกแบบมาให้สัตว์หรือมนุษย์ต่างดาว
ใช้หรืออย่างไร
แต่ก่อนจะคิดอย่างงั้น เดี๋ยวลองไปดูฟีเจอร์ของมันกันก่อน แล้วจะอ๋อกับความหมายคำเหล่านี้
แต่ก่อนจะคิดอย่างงั้น เดี๋ยวลองไปดูฟีเจอร์ของมันกันก่อน แล้วจะอ๋อกับความหมายคำเหล่านี้
และจะเข้าใจว่าเจ้า Galaxy S3 นี้มันออกแบบมาตอบโจทย์ และเข้าใจพวกเราอย่างไร
เริ่มต้นจากเสปกของ Galaxy S3 กันก่อน เพราะเชื่อว่าหลายๆคนจะรอดูแต่เสปกอย่างเดียว 

- 3G Quadband (850/900/1900/2100) ความเร็วสูงสุด 21Mbps แต่สุดท้ายน่าจะแยกคลื่นเหมือน S2/Note
- หน้าจอ 4.8 นิ้ว HD Super AMOLED 1280x720 (Pentile) ~306ppi (retina display)
- Corning Gorilla Glass 2 - ทนกว่าเดิม บางกว่าเดิม
- CPU Cortex-A9 Exynos 4412 Quadcore 1.4GHz
- GPU Mali-400MP
- Ram 1GB
- Android 4.0.4
- กล้องหลัง 8 MP + LED Flash กล้องหน้า 1.9 MP
- WLAN : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n, DLNA, Wi-Fi Direct, Wi-Fi hotspot
- Bluetooth 4.0 ประหยัดแบตโฮกๆ
- NFC, Accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer
- FM radio with RDS
- GPS with A-GPS and GLONASS
- เชื่อมต่อ USB 2.0 ต่อภาพออกจอได้ด้วยสาย MHL และเสียบ thumbdrive ได้เช่นเดิม (ผ่านสายต่อ)
- ขนาดและน้ำหนัก 136.6 x 70.6 x 8.6 mm 133 g
- ความจุ 16/32/64 GB รองรับ SD card สูงสุด 64GB (เมืองไทยน่าจะเอาเข้ามาแต่ 16GB เช่นเดิม)
- แบต Li-ION 2100mAh
- มีให้เลือก 2 สี ขาวและน้ำเงิน
มาดูจุดเด่นที่น่าสนใจของเจ้า S3 ที่โทรศัพท์ตัวอื่นไม่มีกันดีกว่า
ฟีเจอร์ด้านล่างเหล่านี้เป็นจุดชูของคอนเซปท์ที่พยายามบอกว่า Galaxy S3 เข้าใจคนใช้งาน ซึ่งประกอบด้วย
- Smart stay - มือถือมันมองเห็นเรา หากตาของเรายังจ้องที่จอ S3 อยู่ มันจะไม่พักหน้าจอ (เออ น่าทำมานานละ)
- Direct call - เมื่อเราต้องการโทรออก เพียงเข้าไปที่รายชื่อคนๆนั้นแล้วยกโทรศัพท์แนบหน้าเรา เจ้า S3 ก็จะรู้ทันทีและทำการโทรออกอัตโนมัติ ไม่ต้องมากดโทรออกกันให้วุ่น
- Smart alert - เมื่อเราตั้งโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้ และกลับมาหยิบมันจากโต๊ะ หลายๆครั้งมีแจ้งเตือนอะไรมา เราก็อาจจะไม่ทันมอง แต่เจ้า S3 มันจะรู้ว่าเราตั้งทิ้งเอาไว้ และจะงอแง(สั่น)ให้สนใจการแจ้งเตือนที่เราพลาดไปนั้น
- Social tag - Galaxy S3 มันจะสามารถจดจำใบหน้าของเพื่อนเราได้เมื่อเราบอกมันว่าใครคือใคร และหลังจากนั้นเมื่อเราถ่ายรูปมันจะจดจำให้เองอัตโนมัติ และเมื่อเราแตะที่ภาพก็จะมีสถานะของเพื่อนคนนั้นในสังคมออนไลน์ขึ้นมาอัพเดททันที

- S Voice - เห็น iPhone มี Siri พูดด้วยได้? S3 ก็ไม่ต่างกัน แต่ทำอะไรได้เพิ่มเติม โดยในงานเห็นว่ารองรับภาษาได้มากถึง 8 ภาษา และสั่ง run โปรแกรมได้หลากหลายด้วย
จุดเด่นหลักๆอย่างนึงที่น่าเสียดายว่าในงานไม่ได้พูดอะไรมากคือ Pop up Play ที่เราสามารถเปิดวิดีโอให้มันเล่นบนหน้าจอโดยที่เราก็ทำงานอื่นได้ด้วยได้ ซึ่งเอาจริงๆมันเป็นคิลลิ่งฟีเจอร์มากๆเลยนะ เพราะดึงเอาความสามารถของ Multitask และ Quadcore ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่จริงๆ เข้าใจว่าน่าจะเป็นการเรียกเอาวิดีโอที่เซฟในเครื่องขึ้นมาดูเท่านั้น ไม่สามารถใช้กับ YouTube ได้ครับ

จุดเด่นอื่นๆที่น่าสนใจ
การแชร์
- นอกเหนือจาก Android Beam แล้วก็จะยังมี S Beam ที่เพิ่มขีดจำกัดความสามารถเข้าไปให้ Galaxy S III โดยเชื่อมต่อกันได้รวดเร็วผ่าน NFC และยังโอนถ่ายข้อมูลขนาดใหญ่ๆได้เพียงเวลานิดเดียวเท่านั้น ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้าเราถ่ายวิดีโอขนาด 1GB เราสามารถแชร์ให้เพื่อนได้ในเวลาเพียง 3 นาทีหรือถ้าเป็นเพลงขนาด 5 MB ก็จะกินเวลาเพียง 1 วินาทีเท่านั้น!! โอ้ววว แชร์ไฟล์กันมันส์ล่ะทีนี้ (หมายถึงรูปถ่ายเวลาไปเที่ยว ไม่ต้องมาส่งมาแท็กกันวุ่นวายแล้วววว
)
)
- AllShare Cast << มันก็คือ DLNA นั่นแหละ แต่ว่าเป็นชื่อทางการค้าของทาง SS เค้า แต่ความเจ๋งมันอยู่ที่มันสามารถทำโหมดกระจก mirroring หน้าจอเราขึ้นไปบนทีวีได้ทันที หากทีวีไม่รองรับก็ใช้ Dongle ต่อให้ได้ด้วย สุโค่ยยย!!
- AllShare Play << อันนี้สิที่ต่าง เพราะมันทำให้เราสามารถแชร์ screen ผ่านอินเตอร์เน็ตได้ ลองนึกภาพเวลาเราเก็บวิดีโอเอาไว้ที่เครื่องคอมที่บ้าน เราสามารถใช้ AllShare Play จากมือถือเราเข้าไปเปิดดูได้ ไม่ต้องเก็บไฟล์ใหญ่ๆเอาไว้ให้หนักเครื่องอีกต่อไป

- Group Cast << อันนี้ก็เด็ด เพราะมันจะแชร์หน้าจอของเราให้กับเพื่อนที่อยู่ในวง WiFi เดียวกันได้ โดยเพื่อนๆจะสามารถเขียน comment หรือว่าว่าอะไรลงไปได้ เหมาะกับใช้ทำงานระดมสมองยิ่งนัก...แต่เหมือนจะเหมาะกับจอใหญ่ๆมากกว่านะ
- Buddy photo share ต่อยอดจาก Social tag ด้านบนที่ไม่ใช่แค่ tag แต่ยังสามารถแชร์ภาพไปให้เพื่อนที่เราถ่ายด้วยได้เลยอย่างง่ายๆอีกต่างหาก ไปเที่ยวกันมาถ่ายรูปก็เพียบ ไม่ต้องมานั่งเล็งละว่ารูปไหนจะต้องส่งให้ใคร เพราะเจ้า S3 มันจัดการให้เรียบร้อย
Design
- ภายนอกมีการดีไซน์ที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ไปเอาอย่างค่ายผลไม้แล้ว โดยทีมออกแบบเจ้า S3 เค้าได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ หล่อรวมดินน้ำไฟลมออกมาให้เป็นหน้าตาของ S3 (ว่าไปนั่น) ก็มีทั้งเสียงชอบและเสียงไม่ชอบมากมาย อันนี้ก็นาๆจิตตัง แต่ส่วนตัวผมขอรอตัดสินอีกทีตอนได้จับของจริงละกัน
- TouchWiz UX ที่มีการ redesign ใหม่ดูสวยสะอาดตาขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าก็มีแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ หล่อรวมดินน้ำไฟลมออกมาให้เป็น UI ของ S3 อีกเช่นกัน (เออนะ) เสียงกดหรือว่าริงโทนก็มีการปรับปรุงให้ไพเราะเสนาะหูมากขึ้น บลาๆๆ รอได้เล่นจริงๆเดี๋ยวว่ากัน
กล้อง
- อาจจะไม่ได้มาตามที่หลายๆคนคาดเอาไว้เพราะมีความละเอียดแค่ 8 MP และภาพรวมโดยมากเรียกว่าฟีเจอร์ใกลักับคู่แข่งอย่าง HTC One X มาก ไม่ว่าจะเป็น Zero Shutter Lag, Burst Best Shot, Smile Shot, HDR, etc. ขอไม่พูดอะไรมาก รอดูคุณภาพของกล้องในการใช้งานจริงอีกทีละกันครับ
สิ่งนึงที่แอบตกใจที่ได้ยิน แต่มันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกเช่นกันคืออุปกรณ์ชาร์จแบตแบบไร้สาย...มีบอกมาแว่บๆตอนท้าย และผ่านไปอย่างรวดเร็ว!! เฮ้ย เด่นๆน่ะ ไม่พูดอะไรเลยเรอะ!! >__<
วันและเวลาจำหน่าย เริ่มได้เห็นกัน 29 พฤษภาคมนี้ 10 ประเทศใหญ่ ส่วนไทยรอลุ้นกันต้นเดือนมิถุนาฯ 

และนี่ก็เป็นเรื่องราวทั้งหมดของ S3 ที่ได้จากการอดหลับอดนอนเฝ้างานเปิดตัวในคืนที่ผ่านมา ต้องบอกว่ามีอะไรน่าสนใจไม่น้อย แต่ก็อีกนั่นแหละ ที่ดันพรีเซนต์ออกมาได้ไม่ค่อยน่าตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่ หลายๆอย่างที่ซัมซุงเปิดตัวมาวันนี้ เชื่อว่าถ้าได้อยู่ในมือของเฮียสตีฟ ศาสดาสุดที่เลิฟแล้วล่ะก็ มันจะกลายเป็นโคตรว้าวฟีเจอร์ที่เขย่าโลกได้อีกแน่ๆอ่ะ
ทิ้งท้ายด้วย YouTube ซะหน่อย